บทที่ 13 ก้าวแรกของผู้ฝึกตน 1

หนิงอ้ายนั่งมองฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระบัวท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าเงียบสงบ ผมสีดำสนิทเปล่งประกายเงางามถูกมัดรวบด้วยผ้าผูกสีขาวเพียงครึ่งปล่อยส่วนที่เหลือให้ยาวสยายจรดกลางหลัง เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยไปตามกรอบหน้าเรียวมนรูปไข่ที่คล้ายคลึงกับมารดาไปมากถึงเก้าในสิบส่วน ดวงตาเรียวหงส์ประกายความซุกซนสดใส ริมฝีปากบางรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ จมูกเรียวโด่งรับกับใบหน้างดงามราวกับเป็นเซียนหญิงคงไม่เกินจริงไปนัก

“หนิงเอ๋อร์ แน่ใจใช่หรือไม่ว่าหายดีแล้ว? แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก” เย่วซินถามขึ้นพร้อมกับเดินไปหาบุตรชายที่นั่งอยู่ในศาลาริมสระบัวข้างเรือน

“ข้าหายดีแล้วท่านแม่ อีกทั้งยังรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมด้วยขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลก่อนตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ได้ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วในตลอดหนึ่งเดือนนี้

“ท่านคิดเห็นอย่างไรหากว่าข้าอยากเป็นผู้ฝึกตนและต้องการปลุกพลังวิญญาณขอรับ?”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดออกมา?” เย่วซินที่ได้ยินจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะหลังจากที่เด็กหนุ่มไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ในตอนอายุเจ็ดปีบุตรชายของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง ตลอดหลายปีมานี้อีกฝ่ายได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการศึกษาตำราสมุนไพรรวมไปถึงตำราศาสตร์ความรู้ในด้านอื่น

“ข้าปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับคำดูถูกตลอดเวลาหลายปีนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ข้าไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกป้องของท่านแม่หรือตระกูลหวังไปตลอดชีวิตได้...”

“แม้ว่าจะต้องแลกด้วยความเจ็บปวดเจียนตาย เจ้าก็ยินดีอย่างนั้นรึ?” เยว่ซินจ้องเข้าไปในดวงตาของบุตรชายอันเป็นที่รัก พร้อมกับถามกลับไปด้วยความจริงจัง

“ข้ามิกลัวขอรับ! ในยุทธภพแห่งนี้ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับนับถือเหนือผู้คน ต่อให้เส้นทางผู้ฝึกตนของข้าอาจจะเริ่มต้นช้าหรือมีอุปสรรคขัดขวางมากกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะต้องทนทุกข์จากความเจ็บปวดมากเพียงใดก็จะมุ่งมั่นอดทน ข้าเชื่อว่าผลลัพธ์จากความเพียรพยายามต้องออกมาดีเป็นแน่...”

”ท่านแม่ได้โรดสนับสนุนข้าด้วยขอรับ!” หนิงอ้ายเอ่ยออกมาพร้อมกับคุกเข่าตรงหน้ามารดาของตนด้วยสายตามั่นคงแน่วแน่กับสิ่งที่ตนเอ่ยขึ้น

เยว่ซินที่เห็นหนิงอ้ายคุกเข่าคำนับพร้อมกับใบหน้าจริงจังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น นางรู้สึกภูมิใจในบุตรชายเป็นอย่างมาก หลังจากที่เด็กหนุ่มหายจากอาการป่วยเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ร่างกายได้ฟื้นฟูขึ้นจนเห็นได้ชัด ใบหน้าที่เคยซีดเซียวหม่นหมองได้ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าสดใสเฉกเช่นคนสุขภาพดี ในตอนนี้อีกฝ่ายดูมีความสุขและมีชีวิตชีวาที่มากยิ่งขึ้นเหมาะสมกับวัยยิ่ง

แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายได้ร้องขอจะทำให้นางเป็นห่วงแต่ด้วยเหตุผลหลายสิ่งอย่างที่ประกอบกันแล้ว สิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น ตัวของนางเองและตระกูลหวังย่อมไม่สามารถปกป้องอีกฝ่ายไปได้ตลอดดังว่า อีกทั้งในตอนนี้หากนางจะกล่าวห้ามอะไรคงไม่ทันแล้วเป็นแน่เพราะเจ้าตัวคงใช้เวลาหลายวันคิดตัดสินใจถี่ถ้วนดีแล้วจึงเอ่ยออกมาเช่นนี้

เส้นทางของผู้ฝึกตนนับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปล้วนต้องการผลักดันตัวเองเข้าสู่วิถีนี้ ด้วยถือว่าเป็นตัวตนที่ทรงเกียรติน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับขั้นต่ำที่สุดหรือจะระดับไหนก็นับว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลอย่างแท้จริง

ผู้ฝึกตนล้วนมีพลังวิญญาณต้นกำเนิดกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของพลังวิญญาณในร่างกายซึ่งแบ่งออกเป็นสิบขั้นย่อยในแต่ละระดับและมีทั้งหมดสิบห้าขั้นใหญ่ ทันทีที่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จจะถูกเรียกขานว่าผู้ฝึกตน สำหรับวิญญาณยุทธ์จะตื่นขึ้นก็ต่อเมื่อพลังวิญญาณเข้าสู่ระดับที่สิบเอ็ดเป็นต้นไป ในเขตขั้นนี้สามารถสังหารสัตว์อสูรเพื่อช่วงชิงกระดูกวิญญาณเข้าประสานกับร่างกายได้ โดยที่ผู้ฝึกตนจะมีราชทินนามหรือคำเรียกขานตัวตนดังนี้

ราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับ 1-10

ราชทินนามขุนพลวิญญาณระดับ 11-19

ราชทินนามขุนนางวิญญาณระดับ 20-29

ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณระดับ 30-39

ราชทินนามเทวะวิญญาณระดับ 40-49

ราชทินนามราชันวิญญาณระดับ 50-59

ราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณระดับ 60-69

ราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณระดับ 70-79

ราชทินนามพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 80-89

ราชทินนามมหาพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 90-100

ราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 101-119

ราชทินนามมหาอัครพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 120-130

ราชทินนามเทพพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 130-150

ราชทินนามมหาเทพพรหมยุทธ์วิญญาณระดับ 150-170

ราชทินนามเทพบรรพกาล (ตำนาน) ระดับ170 เป็นต้นไป

แต่ละขั้นย่อยของระดับพลังวิญญาณจะแบ่งออกเป็นดังนี้

ระดับ 1-3 ขั้นต้น  หนึ่งวงแหวนเวทย์

ระดับ 4-6 ขั้นกลาง  สองวงแหวนเวทย์

ระดับ 7-9 ขั้นสูง  สามวงแหวนเวทย์

ว่ากันว่าผู้ฝึกตนที่บรรลุถึงเขตขั้นที่90 หรือราชทินนามมหาพรหมยุทธ์วิญญาณเป็นต้นไป พวกเขาเหล่านั้นไม่ต่างไปจากบุคคลในตำนานที่ไม่อาจมีผู้ใดเสมอเทียบเคียงได้

บทก่อนหน้า
บทถัดไป